รอยแผลเป็นจากสิวเป็นปัญหาสำหรับหลาย ๆ คนที่เคยเป็นสิว แผลเป็นจากสิวส่งผลรูปลักษณ์และเนื้อสัมผัสของผิว และยังส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง ในปัจจุบันมีการรักษาหลากหลายวิธีเพื่อรักษาแผลเป็นจากสิวให้ดีขึ้น รวมถึงวิธีป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
รอยสิว เกิดจากอะไร?
แผลเป็นจากสิวเป็นผลมาจากการอักเสบของผิวหนัง เช่น สิว ผด ตุ่มหนอง ตุ่มน้ำ และซีสต์ รอยสิวสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อรูขุมขนอุดตันด้วยน้ำมันส่วนเกิน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรีย เมื่อสิ่งเหล่านี้สะสมเข้าไปในเนื้อเยื่อรอบๆ ทำให้บริเวณนั้นเกิดการอักเสบได้ เมื่อมีการอักเสบร่างกายจะสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ซึ่งเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักในผิวหนัง เพื่อรักษาบาดแผล แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งกระบวนการรักษาอาจไม่สมบูรณ์ และนำไปสู่การสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ส่งผลให้เกิดแผลเป็นจากสิวประเภทต่างๆ
หลุมสิว มีกี่ประเภท?
แผลเป็นจากสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ แผลเป็นแบบบุ๋ม (Atrophic Scars) และ แผลเป็นแบบนูนหนา(Hypertrophic scars)
แผลเป็นแบบบุ๋ม (Atrophic Scars) คือแผลเป็นมีรอยบุ๋มเกิดขึ้นเมื่อมีการสูญเสียเนื้อเยื่อในระหว่างกระบวนการรักษา พบได้ทั่วไปบนใบหน้าและสามารถแบ่งได้อีก 3 ประเภทย่อย
- แผลเป็นรุนแรง (Ice pick scars) เป็นแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นรูเล็กๆ หรือรอยเจาะบนผิวหนัง มักเกิดจากสิวอักเสบรุนแรง เช่น ซีสต์หรือก้อน
- แผลเป็นแบบบ็อกคาร์ (Boxcar scars) เป็นแผลเป็นกว้างและตื้นมีลักษณะเป็นรอยบุ๋มรูปกล่อง มักเกิดจากสิวที่มีการอักเสบปานกลางถึงรุนแรง เช่น ตุ่มหนอง
- แผลเป็นนูน (Rolling scars) เป็นแผลเป็นกว้างและตื้น มีลักษณะเหมือนคลื่นหรือเนินบนผิวหนัง มักเกิดจากแผลสิวอักเสบเรื้อรังที่ทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดการดึงลงมาที่ผิวหนัง
แผลเป็นแบบนูนหนา(Hypertrophic scars) เกิดขึ้นเมื่อมีเนื้อเยื่อส่วนเกินเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการรักษา พบได้บ่อยที่หน้าอก หลัง ไหล่ และกราม และสามารถแบ่งออกได้อีก 2 ประเภทย่อย:
- แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) เป็นแผลเป็นขนาดใหญ่และมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอซึ่งขยายเกินบริเวณแผลเดิมและขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากการผลิตคอลลาเจนมากเกินไปและความบกพร่องทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดแผลเป็น
- แผลเป็นแบบนูน (Hypertrophic scars) เป็นแผลเป็นขนาดเล็กและมีรูปร่างธรรมดา ซึ่งจะอยู่บริเวณแผลเดิมและจางลงเมื่อเวลาผ่านไป เกิดจากการผลิตคอลลาเจนในระดับปานกลางและการตอบสนองต่อการรักษาตามปกติ
หลุมสิว รักษาได้อย่างไร?
การรักษาหลุมสิวสามารถทำได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับรอยแผลเป็นแต่ละประเภทจะสามารถตอบสนองต่อวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น
- ชนิด ขนาด ความลึก ตำแหน่ง และสีของแผลเป็น
- ประเภทของผิว โทนสี พื้นผิว และความไวของบุคคล
- เป้าหมาย ความคาดหวัง ความชอบ และงบประมาณของบุคคล
- ความพร้อม ประสิทธิผล ความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายในการรักษา
การรักษาแผลเป็นจากสิวที่ใช้บ่อยที่สุด ได้แก่
- การทาเฉพาะจุด (Topical treatments) ได้แก่ ครีม เจล โลชั่น หรือเซรั่มที่มีส่วนผสมที่สามารถช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวจางลงหรือดีขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น เรตินอยด์ (อนุพันธ์ของวิตามินเอ), กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA), กรดเบต้าไฮดรอกซี (BHAs), กรดอะเซลาอิก (Azelaic Acid)
วิธีการรักษาที่เกี่ยวข้อง
- การใช้กรดไนอาซินาไมด์ วิตามินซี และสารสกัดจากชะเอมเทศ (niacinamide vitamin C and licorice extract) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความกระจ่างใส ให้ความชุ่มชื้น และสามารถลดการอักเสบ การสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ซึ่งสามารถใช้เดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้
- การผ่าตัดแผลเป็น (Acne scar surgery) เป็นขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการตัดเนื้อเยื่อแผลเป็นเพื่อให้สังเกตเห็นได้น้อยลง สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือเจาะเพื่อตัดแผลเป็นออก ใช้เข็มเพื่อสลายเนื้อเยื่อแผลเป็น การเย็บหรือปลูกถ่ายผิวหนังเพื่อปิดแผล การผ่าตัดแผลเป็นจากสิวสามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น ฟิลเลอร์ (Filler) เลเซอร์กรอผิว (laser resurfacing) เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ฉีดฟิลเลอร์ (Soft tissue fillers) เป็นสารฉีดที่สามารถทำให้ผิวอวบอิ่มและเติมเต็มรอยบุ๋มที่เกิดจากแผลเป็น ตัวอย่างเช่น การฉีดกรดไฮยาลูโรนิก คอลลาเจน ไขมัน หรือโพลีเมทิลเมทาคริเลต (PMMA) ซึ่งฟิลเลอร์สามารถช่วยให้แผลเป็นจากสิวดีขึ้นในทันที แต่จำเป็นต้องฉีดซ้ำทุกๆ 2-3 เดือนเพื่อรักษาผล นอกจากนี้ฟิลเลอร์ยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งสามารถนำไปสู่การรักษาแผลเป็นในระยะยาว
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยเลเซอร์ (Laser resurfacing) เป็นขั้นตอนที่ใช้อุปกรณ์เลเซอร์เพื่อขจัดเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุด สามารถกระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่และเส้นใยคอลลาเจน การผลัดเซลล์ผิวด้วยเลเซอร์สามารถรักษาสภาพผิว โทนสี และแผลเป็นได้โดยการทำให้ผิวเรียบขึ้นและทำให้รอยแผลเป็นตื้นขึ้น มีเลเซอร์หลายประเภทที่สามารถใช้รักษาแผลเป็นจากสิวได้ เช่น เลเซอร์ที่ทำให้ผิวเกิดอาการลอก (ablative lasers) ยิงเลเซอร์เนื้อเยื่อชั้นที่ผิวบางจุดที่มีปัญหาออกไป หรือเลเซอร์ทำให้ไม่เกิดอาการผิวลอก (non-ablative lasers ) การยิงรังสีอินฟราเรดเข้าไปที่ผิวชั้นใน โดยความร้อนของเลเซอร์จะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเดิม การผลัดผิวด้วยเลเซอร์อาจมีผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น รอยแดง บวม เจ็บ ติดเชื้อ เกิดแผลเป็น หรือสีผิวเปลี่ยนไป นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลาพักฟื้นและต้องป้องกันแสงแดดหลังการรักษา
- การใช้พลังงานอื่นๆ (Other energy-based procedures): เป็นการใช้แหล่งพลังงานอื่นนอกเหนือจากเลเซอร์ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว ได้แก่ ลำแสงเข้มข้นสูง (IPL), เทคโนโลยีการปล่อยคลื่นวิทยุ (RF), อัลตราซาวนด์ (ultrasound) หรือไมโครนีดลิง (microneedling) ซึ่งการใช้พลังเหล่านี้สามารถช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวได้โดยการทำให้ผิวหนังร้อนขึ้นหรือสร้างบาดแผลขนาดเล็กในเนื้อเยื่อผิวหนัง ไปกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน ขั้นตอนเหล่านี้มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการผลัดผิวด้วยเลเซอร์ แต่อาจต้องใช้ระยะเวลามากกว่าและให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเล็กน้อย
- การกรอผิว (Dermabrasion) เป็นการกรอผิวสามารถช่วยลบรอยแผลเป็นตื้นๆ และปรับผิวที่หยาบกร้านหรือไม่สม่ำเสมอ การกรอผิวอาจมีผลข้างเคียงและเวลาพักฟื้นที่คล้ายคลึงกันเหมือนกับการผลัดผิวด้วยเลเซอร์ แต่ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่มีสีผิวคล้ำหรือผู้ที่ยังมีสิวอยู่
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical peel) เป็นการใช้สารเคมีเพื่อลอกผิวชั้นบนสุดออกและเผยผิวใหม่ การลอกผิวด้วยสารเคมีสามารถช่วยรักษาแผลเป็นจากสิวได้โดยการผลัดเซลล์ผิว ทำให้กระจ่างใส ลดการสร้างเม็ดสีและการอักเสบของผิวหนัง สารเคมีมีหลายประเภทที่มีและมีความสามารถที่แตกต่างกันไป เช่น กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) กรดเบต้าไฮดรอกซี (BHA) กรดไตรคลอโรอะซีติก (TCA) หรือฟีนอล การลอกผิวด้วยสารเคมีอาจมีผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น รอยแดง ลอก แสบร้อน คัน การติดเชื้อ แผลเป็น หรือการเปลี่ยนแปลงของสีผิว การลอกผิวด้วยสารเคมียังต้องใช้เวลาพักฟื้นและป้องกันแสงแดดหลังการรักษา
- การฉีดสเตียรอยด์ (Steroid injection) เป็นการฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปในแผลเป็นนูน เพื่อลดขนาดของรอยแผลเป็นและรักษารอยแผลเป็นให้ดีขึ้น การฉีดสเตียรอยด์สามารถช่วยให้เนื้อเยื่อแผลเป็นแบนและนิ่มลง และบรรเทาอาการคันหรือปวดที่เกี่ยวข้องกับแผลเป็นได้ การฉีดสเตียรอยด์อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวบางลงหรือเปลี่ยนสี ช้ำ เลือดออก หรือติดเชื้อ การฉีดสเตียรอยด์สามารถช่วยให้แผลเป็นจากสิวดีขึ้นได้ชั่วคราว แต่อาจต้องฉีดซ้ำทุกๆ 2-3 สัปดาห์เพื่อรักษาผล
- การฉีดโบท็อกซ์ (Botox injection) เป็นการฉีดโบทูลินัมท็อกซินเข้าไปในกล้ามเนื้อรอบ ๆ แผลเป็นจากสิวเพื่อให้แผลหายและรักษารอยแผลเป็นให้ดีขึ้น การฉีดโบท็อกซ์สามารถช่วยลดรอยย่นหรือรอยบุ๋มของผิวหนังได้ การฉีดโบท็อกซ์อาจมีผลข้างเคียง เช่น รอยช้ำ บวม ปวด ปวดหัว หนังตาหรือคิ้วตก ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์สามารถช่วยให้แผลเป็นจากสิวดีขึ้นได้ชั่วคราว แต่อาจต้องฉีดซ้ำทุกๆ 2-3 เดือนเพื่อรักษาผล
หลุมสิว ป้องกันได้อย่างไร?
วิธีป้องกันแผลเป็นจากสิวที่ดีที่สุดคือการป้องกันการเกิดสิวตั้งแต่แรก เคล็ดลับในการป้องกันสิว ได้แก่
- ล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดการอุดตันบนผิวหนังและเส้นผม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส แคะ หรือบีบสิว
- ดูแลเส้นผมให้สะอาดและอยู่ห่างจากใบหน้า
- จัดการระดับความเครียดและนอนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุลและดื่มน้ำมากๆ
- ปรึกษาแพทย์หากคุณมีสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อยาที่ที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาสิว
หากคุณมีรอยแผลเป็นจากสิวอยู่แล้ว คุณสามารถป้องกันไม่ให้มันแย่ลงได้โดย
- ปกป้องผิวจากแสงแดดโดยใช้ครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้ามิดชิด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลผิวหลังการรักษา
- มีความอดทนในการรักษา
ข้อดีของการรักษาหลุมสิวคืออะไร?
การรักษาหลุมสิวมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ เช่น
- ปรับสภาพผิวและพื้นผิว
- เพิ่มความมั่นใจในตนเอง
- ลดความไม่สบายกายหรือความเจ็บปวดที่เกิดจากแผลเป็น
- เพิ่มโอกาสทางสังคมและอาชีพ
Cr.ขอขอบคุณ American academy of Dermatology association